อานิสงส์นอนฟังเทปธรรมะ
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม :- “ผมอยู่บ้านเปิดเทปธรรมะของหลวงพ่อฟัง แต่เวลาฟังนั้นนอนฟัง อย่างนี้จะเกิดโทษหรือเปล่าครับ…?”
หลวงพ่อ :- “เดี๋ยวก่อนต้องถามก่อน ผมอยู่บ้าน แล้วตัวไปไหน”
ผู้ถาม :- ?…?…?…
หลวงพ่อ :- “ผมเปิดเทปฟังได้เรอะ…”
ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “อ้อ…จริงแฮะ คือตัวอยู่ด้วยครับ”
หลวงพ่อ :- “เกิดแน่ มีโทษมหันต์เลย ถ้าฟังเรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งตาย จะไม่รู้จักนรกเป็นยังไง เลยกลายเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน จะไม่รู้จักเลย ขาดความฉลาดในเรื่องนี้”
ผู้ถาม :- “ถ้าไม่โง่ลงข้างล่างก็ยอมครับ”
หลวงพ่อ :- “เอาเรอะ?…ชอบโง่เรอะ ใช้ได้ ๆ คือว่าฟังเสียงฉัน แต่อย่าลืมว่านั่นเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า นั่ง นอน ยืน เดิน เขาไม่ได้ห้าม นอนฟังปล่อยให้หลับไปเลยยิ่งดีใหญ่ ฟังเทปไม่ทันจบก็หลับไป เทปก็ว่าไปตามเรื่องตามราว นั่นแหละจิตเป็นฌาน ถ้าฟังแล้วรำคาญมันจะหลับไม่ได้ ถ้าเกิดความเพลิดเพลิน จิตจะสบายเรื่อยไป พอถึงฌานปั๊บตัดหลับเลย อันนี้มีประโยชน์ใหญ่”
ผู้ถาม :- “แล้วบังเอิญตอนนั้นต้องเข้าห้องส้วม เลยไปฟังต่อในส้วม ตอนนี้จะบาปไหมครับ”
หลวงพ่อ :- “อาจารย์เอาอะไรฟัง…เอาหูฟังหรือเอาทวารฟัง…?”
ผู้ถาม :- “เอาหูครับ”
หลวงพ่อ :- “เอาหูฟังไม่เป็นไร”
ผู้ถาม :- “แหม…ถ้าคนช่างคิดก็คิดจริง ๆ นะ เวลาปล่อยอึก็กลัวกลิ่นจะเหม็นออกมารบกวน”
หลวงพ่อ :- “ไม่เป็นไร”
ผู้ถาม :- “หลวงพ่ออโหสิเลยนะ”
หลวงพ่อ :- “ไม่ใช่อโหสิ การปวดอุจจาระปัสสาวะนี่ไม่มีใครต้องการ แต่มันปวดตามเรื่องตามราวของมันใช่ไหม…แต่ในขณะนั้นจิตยังเป็นกุศลอยู่ พอใจในธรรมะ ยังเป็นบุญอยู่เท่าเดิม
ไอ้เรื่องนี้เมื่อฉันเจริญกรรมฐานใหม่ ๆ รุ่นพี่บอกว่า เวลาที่ถ่ายปัสสาวะก็ดี ถ่ายอุจจาระก็ดี อย่าภาวนานะ บาป พอไปถาม หลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า “แกไปเชื่อไอ้ควาย ภาวนานี่จิตเป็นกุศล”
ท่านเลยถามว่า “ถ้าเวลาท้องถ่าย แล้วตายเวลานั้น จะว่ายังไง”
พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม ใช่ไหม…การภาวนามันอยู่ที่จิต ไอ้ตัวภาวนาไม่ได้อยู่ที่ส้วม ทำได้ตลอดเวลาอย่าให้มันขาด อันนี้ดีมาก ถ้าทางที่ดีก็ควรจะมีสายสะพาย
พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่าง ท่านสะพายเวลาท่านจะเดินเล่น ท่านเดินเล่น ๑ ชั่วโมงฟังเทป ๒ หน้า ถ้าจะเดินเล่น ๒ ชั่วโมง ก็ฟัง ๔ หน้า เวลาท่านบรรทมท่านฟังจนหลับ ท่านทำเป็นปกติเลย”
ผู้ถาม :- “ท่านสนพระทัยด้วยหรือครับ…?”
หลวงพ่อ :- “เรื่องนี้หนักมาก เรื่องกรรมฐานนี่นะ อย่าว่าแต่สนพระทัยเฉย ๆ ไม่ได้ เข้าฌานออกฌานได้ตามเวลา เก่งมาก ฉันไม่กล้าปะทะกับท่านนะ”
ผู้ถาม :- “เห็นท่านมีภาระยุ่งกับทางโลกหนัก”
หลวงพ่อ :- “อันนี้แหละ เราจะเห็นว่าท่านน่ะมีเวลาน้อยนะ และความเข้าใจในธรรมะนี่ลึกซึ้งมากเหลือเกิน ละเอียดลออมาก ฉันนึกสงสัยเหมือนกันว่า ท่านเอาเวลาไหนไปวิจัยธรรมะ
เพราะวันทั้งวันท่านเกือบไม่มีเวลาว่าง ถึงเวลา ๒ ยาม ท่านจะทรงเซ็นหนังสือ ถ้าไม่มีแขกนะ บางทีก็มีงานเลี้ยงจนถึงตี ๑ ถึงตี ๑ ท่านก็เริ่มเซ็นหนังสือ ถึงตี ๒ ท่านก็เริ่มฟังเทปแล้ว ท่านทำกรรมฐานหรือฟังเทปตอนตี ๒ เวลาแน่นอนของท่าน”
หลวงพ่อ :- “ฉันเคยเทศน์มาตั้งเยอะ คำถามด้านธรรมะไม่ละเอียดเหมือนพระเจ้าอยู่หัว รู้สึกว่าต้องระวังมากเวลาคุยกับท่านด้านธรรมะ ต้องระวังหนักจริง ๆ และต้องฟังทุกคำไม่พลาด บางทีก็ถามยาว ก็ต้องพยายามฟังทุกคำ เรื่องธรรมะนี่พลาดหน่อยเราเจ๊งเลย บางทีถามเรื่องเดียว ๓ รอบก็มี แล้วสำนวนจะไม่ซ้ำกันเลย สำนวนนี่สำคัญมาก ต้องฟังทุกคำ”
ผู้ถาม :- “เคยฟังเทปตอนหนึ่งที่หลวงพ่อบันทึกถวายในเรื่อง บารมี ๑๐ ที่พระองค์ทรงถามเรื่อง จาคะ”
หลวงพ่อ :- “ท่านถามว่า จาคะตัวเดียวไปนิพพานได้ไหม…ชักอึ้งเลยเรา เราไม่เคยเจอะตำราเลย ก็ต้องนั่งนึก เข้าเครื่องเตรียมบันทึกเทปแล้ว แต่ยังไม่เปิดสวิทซ์ไฟ ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า คำว่า จาคะ แปลว่า เสียสละ ถ้าเสียสละแสดงว่ายังขี้ตืดอยู่มาก”
ผู้ถาม :- “เป็นยังไงครับ…?”
หลวงพ่อ :- “ขี้เหนียวน่ะ ดึงไม่ค่อยออก ต้องตัดสินใจอย่างหนัก ถ้าให้ต้องให้ในเกณฑ์ของบารมีต้น
ถ้า บารมีต้น เขาจะให้แบบเสียสละ ต้องดึงใจหน่อย “เอ้า ให้มันหน่อย” แต่ความจริงเสียดายนิด ๆ
ถ้าหากว่า อุปบารมี ความเข้มข้นมันขึ้นมาแล้ว ก็ใช้คำว่า “สละ” ตัดตัว “เสีย” ออก สละเพื่อตัดโลภะในจิตของเราออก
ถ้าเป็น ปรมัตถบารมี ก็ละเลย ตัดตัว “ส” ออก เหลือ “ละ” คือเราไม่ติดในวัตถุทั้งหลาย ตายแล้วเราเอาไปไม่ได้ ไม่ติดในร่างกายเราด้วย ไม่ติดในร่างกายคนอื่นด้วย ไม่ติดในวัตถุธาตุทั้งหลายด้วย
ในมหาสติปัฏฐานสูตรท่านจะลงท้ายไว้ว่า
“จงอย่าสนใจกายภายใน” คือกายของเรา
“จงอย่าสนใจกายภายนอก” คือกายคนอื่น
“จงอย่าสนใจในวัตถุธาตุใด ๆ ทั้งหมด”
นี่ทุกข้อในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านสอนถึงนิพพานหมด ถ้าเป็นปรมัตถบารมีก็ละได้ ถ้าถึงละเฉย ๆ ก็ถึงนิพพานได้ ที่ท่านถามมานี่นักเทศน์ไม่เคยถาม เคยเจอะไหม…อาจารย์?”
ผู้ถาม :- “ไม่เคยเลยครับ พอฟังเทปยังสะดุ้งเลยครับ คิดว่าที่เราสอนคงโมเมโมมะ…”
หลวงพ่อ :- “โมเม…โมมะ…ก็ไม่แน่นะ…”
ผู้ถาม :- “เป็นยังไงครับ”
หลวงพ่อ :- “มองดูกันฑ์เทศน์ เขาติดเท่าไหร่หว่า อ้อ…ยายคนนี้ติดมากเทศน์ยาวหน่อย ติดน้อยเทศน์สั้นนิดหนึ่ง อย่างนั้นเขาเรียกว่า “คนฟังไปสวรรค์ คนเทศน์ไปนรก”
ผู้ถาม :- “อ้าวทำไมยังงั้นล่ะครับ”
หลวงพ่อ :- “คือเกิดโลภะ เทศน์แลกสตางค์ไงล่ะ”
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๕๐-๕๔
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)