บวงสรวงในงานทำบุญที่บ้าน
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ ในกรณีที่ชาวบ้านเขาทำบุญกัน แล้วมีการบวงสรวงอัญเชิญเทวดา อย่างนี้เทวดาท่านจะมาจริงหรือเปล่าครับ…?”
หลวงพ่อ :- อันนี้ฉันไม่รู้ เขาเชิญให้มาหรือเชิญไม่ให้มากันแน่ เราต้องดูส่วนประกอบหลายอย่าง จิตเขาสะอาดแค่ไหน…ถ้าสะอาดไม่พอจะว่าก็ว่าไปซิ ท่านได้ยินแต่ว่าท่านไม่มาซะอย่างก็หมดเรื่อง
อย่างทำบุญตามบ้าน ที่เขาทำพิธีอัญเชิญแล้วว่า “สัคเค กาเม จะ รูเป…” บางทีคนเชิญยังเมาแอ่น กลิ่นเหล้าฟุ้ง อย่างนี้เทวดาที่ไหนเขาจะมาล่ะ มีแต่เปรตกับอสุรกายมากันเป็นตับ มากันจริง ถ้าเมาแล้วไปว่าสัคเคเข้า…แบบนี้พัง!
จะเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง คือเรื่องมันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ตอนนั้นฉันมาช่วยเขาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ๒ ปี มันมีอยู่คืนหนึ่ง คนใกล้วัด บ้านเขาห่างจากวัดไม่ถึงครึ่งกิโลเมตร เขาตาย ญาติพี่น้องเขาก็มานิมนต์พระเณรที่วัดนั้นไปสวดอภิธรรมกันทั้งหมด วันนั้นการเจริญพระกรรมฐานก็เลยต้องพัก พระเณรไปหมดนี่เหลือฉันองค์เดียว ฉันไม่ได้ไปกับเขา ไอ้เรื่องกินผีนี่เลิกกินมานานแล้ว
คืนนั้น ฉันอยู่คนเดียว ประมาณสัก ๒ ทุ่มหรือ ๓ ทุ่ม กำลังนอนอยู่ ก็เลยนึกขึ้นมาว่า เอ…ไอ้เราไปเที่ยวนรก สวรรค์ พรหม นิพพาน ไปเที่ยวมาหมดแล้ว แต่ว่าข้างวัดนี่มันมีอะไรบ้าง เราไม่ได้มองเลย ก็เลยคิดว่าออกไปเดินดูข้างวัดดีกว่า ไอ้ตัวก็นอนอยู่ แต่ใจมันก็เดินออกไปรอบๆ วัด
พอไปถึงหลังวัด ตรงนั้นเขามีกองฟืนสำหรับไว้เผาศพอยู่ ก็ไปเจอะวิมานอยู่หลังหนึ่งใกล้ๆ กับกองฟอน มันอยู่ทางด้านทิศตะวันตก
โดยมากเทวดารักษาวัดเขาอยู่ทางด้านทิศตัวันตก ศาลพระภูมินี่ตามบ้าน ห้ามตั้งทางด้านทิศตะวันตก ถ้าดันไปตั้งทางด้านทิศตะวันตก ก็มีหวังฉิบหายและตายโหง ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า อากาศเทวดาเขามาอารักขาอยู่ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้อากาศเทวดาเขาได้ เขาไม่ใช่ภูมิเทวดา
เมื่อไปเจอะวิมานหลังนั้นเห็นว่าใหญ่โตพอสมควร เขาก็ไปยืนดู เอ…วิมานของใครนะ บริษัทบริวารข้างล่างมีอยู่ประมาณ ๔๐ เศษ
พอเราไปถึง เขาก็ถามพวกนั้นว่า
“เฮ้ย ไอ้พวกนี้ ไอ้บ้านข้างวัดเขาตาย ใครไปบ้านหว่า…?”
ที่เขาถามอย่างนี้ เพราะเขาต้องการให้เรารู้ พวกบริษัทก็บอกว่า
“ผมไปครับๆๆ”
เสียงตอบมาประมาณ ๒๐ เศษ แล้วเขาก็ถามว่า
“เป็นอย่างไรบ้างวะ ใครมาบ้าง ไปแล้วได้อะไรมาบ้างล่ะ…?”
พวกนั้นก็บอกว่า
“มันจะไปได้อะไรครับ มันเมากันทั้งบ้าน แม้แต่คนอาราธนาธรรมก็เมา…อีเหละเขะขะ”
“เฮ้ย!…มันจะไม่ได้อะไรบ้างเลยหรือ…?”
“มันไม่ได้อะไรเลยครับ มันมีแต่บาป บุญไม่มีให้โมทนาเลย” ไอ้เราได้ยินแล้วก็จำไว้
พอตอนเช้าพระท่านก็ต้องไปฉันใช่ไหม… ฉันเสร็จก็เลยเรียกพระที่เขาปฏิบัติกรรมฐานและมีอารมณ์รู้ได้ให้เข้ามาหา
ถามว่า “นี่…เมื่อคืนนี้ไปสวดที่บ้านนั้น มันเมากันบ้างหรือเปล่า…?”
เขาบอกว่า “แหม…หลวงอาครับ มันเมากันหมดทั้งบ้านเลย บารมีเลวครบถ้วนหมด”
ก็เลยถามว่า “เวลาแกสวดน่ะ แกสวดให้ผีฟังใช่ไหม…?”
ที่ว่า “สวดให้ผีฟัง” ก็หมายความว่า สวดตามประเพณี มีฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง
ก็เลยถามว่า “เวลาแกสวดน่ะ แกเอาจิตดูใครเขาบ้างหรือเปล่า…?”
เขาบอกว่า “ดูครับ”
เพราะเคยสอนเขาไว้ว่า เวลาไปสวดอย่าไปเฉยๆ เวลาเขาทำบุญบ้านไหนอย่าไปเฉยๆ ให้รู้เรื่องด้วย
ก็เลยถามว่า “มีใครมาบ้าง”
“มีเปรตกับพวกอสุรกายเป็นตับหมด เปรตมันมาแย่งอาหารกิน และพวกอสุรกายมันก็มาแย่งอาหารที่เขาทิ้งแล้วกิน”
เลยถามว่า “เทวดาไม่มีเลยหรือ…?”
“ไม่มีเลยครับ หาไม่ได้เลย”
นี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้ เทวดาองค์นั้นท่านต้องการให้เรารู้เรื่องนี้ จึงถามลูกน้อง ความจริงท่านต้องไปถามทำไม เพราะท่านต้องรู้อยู่แล้ว ที่ท่านทำแบบนี้ก็เพื่อต้องการให้เรารู้ เพื่อเป็นเครื่องยืนยัน
ฉะนั้นวันทำบุญนี่ อย่าให้มันมีบาป และวันทำบุญจริงๆ เวลาเริ่มอย่าให้มันมีบาปเข้ามาปะทะหน้า ถ้าหากมีบาปเข้ามาปะทะหน้าแล้ว บุญมันเข้าไม่ได้หรอก เพราะบาปกับบุญมันไม่ถูกกัน เริ่มต้นงานก็เชือดไก่ เชือดปลา เลี้ยงเหล้า ฯลฯ อารมณ์มันเป็นอกุศลแล้ว อารมณ์กุศลมันก็เข้าไม่ได้
ถ้าจะทำแบบโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย วันต้นงานให้มันเรียบร้อยทุกอย่าง อย่าให้มันมีบาปเข้ามาปะทะ ถ้าทำบุญเสร็จ กิจที่เป็นเรื่องของพระเสร็จแล้ว จะเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งก็ว่ากันไป ให้มันไปอยู่เสียคนละวัน
แหม…บางบ้านบอกทำบุญเยอะ ทำบุญหมดไปตั้งหลายหมื่น พระฉันไปสักกี่ช้อน และอีตอนพระฉันน่ะเป็นบุญหรือเปล่ายังไม่แน่เลย จิตของเจ้าภาพรับบุญหรือเปล่า…
บางทีรักษาประเพณีกันเกินพอดีไป พอพระจะให้ศีล เจ้าภาพบอกไม่ว่าง อย่างเขาจะถวายทานก็ไม่ว่าง พระจะเทศน์ไม่ว่างอีก บุญมันมีตรงนี้ ถ้าไม่ว่างตรงนี้ แล้วจะเอาอะไร…
ฉะนั้นการทำงานใหญ่ๆ สู้อานิสงส์ของการถวายสังฆทานไม่ได้ แบบนี้ลงทุนเท่าไหร่ ถ้าหากว่ากำลังทรัพย์เรามีไม่มากนัก จะถวายของอย่างละนิดอย่างละหน่อยก็ได้ เขาไม่ได้จำกัดและความกังวลแบบนั้นไม่มี สิ่งที่เป็นบาปแบบนั้นไม่มี ผลที่ได้รับต่างกันกับทำแบบนั้นหลายร้อยเท่า
ยิ่งทำงานมากเท่าไหร่ ความกังวลก็มากเท่านั้น กังวลดีก็มี กังวลเลวก็มี บางทีก็โมโหโทโสใช่ไหม… “แหม…ไอ้หมอนี่เสือกมาเมาเกะกะซะอีกแล้ว” อารมณ์เสีย เรื่องจริงๆ มันเป็นอย่างนี้
อย่างการถวายสังฆทานแบบนี้จิตมันบริสุทธิ์ งานก็ไม่มีกังวลมาก ไม่ต้องไปเลี้ยงเหล้าใคร เวลาจะรับศีลก็ไม่มีใครมาสะกิดข้างๆ ว่าแขกมา เวลาจะถวายทานก็ไม่มีใครมากวนใจ ทำอย่างนี้ได้บุญเยอะ
บางบ้านเราขึ้นไป โอ้โฮ…ลงทุนตั้งเยอะ สมัยก่อนตอนที่เทศน์อยู่ ถ้าลงทุนเป็นพันเป็นหมื่นก็แย่แล้วนะ ค่าของเงินมันสูง บางทีตั้งแต่เริ่มต้นงานจนกระทั่งถึงงานเลิก ทำบุญไม่ได้บุญเลยก็มี
ฉันโดนแบบนี้บ่อยๆ ก็เลยเบื่อ ไม่ไปดีกว่า จะไปทำไม ถ้าไปแล้วเขาไม่ได้บุญ เราจะไปทำไม ไม่ใช่ไม่ได้บุญอย่างเดียวนะ มันได้บาปด้วย บางครั้งเอาพระเป็นลูกจ้างเสียอีก ก็ว่าไปตามเรื่องของเขา จะว่าอะไรก็ว่าตามเรื่อง ต้องการอะไรก็พูดส่งเดช มันก็เป็นการปรามาสไปในตัวเสร็จ…สบาย! แบบนี้ลงหลายชั้น…ไม่ใช่ชั้นเดียวนะ แบบนี้เขาเรียกว่า “ทำบุญแล้วลงนรก”
(ที่หลวงพ่อบอกว่า ทำสังฆทานแบบนี้ หมายถึง สังฆทานที่ถวายประจำวัดที่วัดท่าซุง มีพระพุทธรูป ๑ องค์ ผ้าไตร ๑ ชุด และของบริวาร มีเพียงเท่านี้เอง ของไม่ต้องซื้อไปก็ได้ ทางวัดมีจัดไว้ให้เรียบร้อย)
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้า ๒๑-๒๕
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)